วันพุธที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

อาหารเช้าตอนกลางคืน 2 ปาเต๊ะทูน่า

เมย์รู้สึกว่าตัวเองมีสูตรอาหารเช้าที่ทำตอนกลางคืนสำหรับทานตอนเช้าอยู่มากพอดู เลยขอนำมาเสนออีกเป็นรอบสองนะคะ มีโบนัสด้วยว่าจานนี้ทั้งเตรียมง่ายและทำง่ายกว่าจานก่อนด้วยนะคะ ก่อนอื่นต้องบอกกันก่อนว่า อาหารเช้าแบบไร้สมองของเมย์จะเป็นขนมปังสีน้ำตาลปิ้งทาแยมชนิดใดชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในตู้ที่บ้าน ที่บ้านเมย์เราจะชอบทานขนมปังอร่อยๆ และเรื่องมากเกี่ยวกับขนมปังทั้งชนิดและวิธีเก็บ อย่างเช่น ถ้าขนมปังมาวันแรกให้เก็บไว้นอกตู้เย็นก่อน พอเช้าวันต่อไป ขนมปังก็จะยังนิ่มอร่อยอยู่ (อย่ามีใครริอ่านไปเก็บที่อื่นเชียวล่ะ…จะเป็นเรื่อง) แล้วถ้าขนมปังเก่าเกินหนึ่งวันแล้ว จะเก็บไว้ในช่องแข็งเลยไม่ใช่ตู้เย็นเหมือนบ้านอื่นๆ เพราะเราตกลงกันแล้วว่าขนมปังจากช่องแข็งนั้นเอามาปิ้งแล้วรู้สึกสด อร่อยกว่าแบบที่อยู่ในตู้เย็น

นอกจากแยมแล้ว เรายังชอบทานขนมปังปิ้งกับ ปาเต๊ะ (pate’) อีกด้วยค่ะ ปาเต๊ะที่เราทานๆ กันอยู่ ส่วนมากจะทำจากเนื้อสัตว์และตับบด แต่ที่เราไม่ค่อยเจอเลยคือปาเต๊ะที่ทำจากปลา ซึ่งเมย์ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน เพราะทำกินทีไรก็ว่าอร้อยอร่อย ! เมย์ก็เลยนำสูตร “ปาเต๊ะทูน่า” มาแนะนำเพื่อนๆ ลองทำกันดูมั่ง
ทูน่ากระป๋องแบบที่แช่มาในน้ำมันนั้นทำปาเต๊ะได้อร่อยที่สุด เพราะได้เนื้อที่นิ่มเนียนดี แต่ถ้าอยากใช้แบบในน้ำเกลือก็จะได้เนื้อปาเต๊ะที่แข็งกว่าหน่อย และให้ระวังตอนปรุงรสเพราะต้องลดเกลือลงด้วยค่ะ เมื่อเลือกชนิดทูน่าได้แล้ว ให้นำทูน่ากระป๋องละ 180 กรัม (ซึ่งข้างกระป๋องมักจะเขียนว่าน้ำหนักเนื้อ 130 กรัม) เทน้ำเกลือหรือน้ำมันทิ้งให้หมดจนเหลือแต่เนื้อปลาทูน่า แล้วนำไปใส่ในโถบดกับกระเทียมสับ 1/2 ช้อนชา และปลาแองโชวี่ 1 ตัว บดจนเนื้อปลาละเอียดดีจึงใส่เนยจืด 130 กรัม ตัดเป็นชิ้นๆ ลงไปบดด้วย ระหว่างบดต้องคอยหยุดเครื่องปาดโถให้ส่วนผสมเข้ากันนะคะ เมื่อเข้ากันเป็นเนื้อเนียนดีแล้ว ค่อยใส่เครื่องปรุงที่ประกอบด้วย พริกไทยดำบด 1/2 ช้อนชา น้ำมะนาว 2 ช้อนชา เกลือทะเล 1/4 ช้อนชา (ทูน่ากระป๋องแต่ละยี่ห้อมีความเค็มไม่เท่ากัน อาจต้องใส่เกลือเพิ่มอีกนะคะ) ใส่ถ้วยใบเล็กๆ นำไปแช่ตู้เย็นจนแข็ง โดยปกติเค็กมักจะแช่ปาเต๊ะทูน่าไว้ค้างคืน จะได้นำมาทานกับขนมปังปิ้งร้อนๆ ได้เลยตอนเช้า

อาหารประจำบ้าน

เกลือทะเล พริกไทยดำ ปลาทูน่ากระป๋อง

ตู้กับข้าว

มะนาว เนยจืด กระเทียม

รสชาติของชีวิต

ปลาแองโชวี่

อาหารเช้าตอนกลางคืน หมูตุ๋นยอดผัก

เมย์ว่าพวกเราทุกคนจะยอมรับหรือไม่นั้นต่างก็เคยดูละครหลังข่าวมาด้วยกันแล้วทั้งนั้น แล้วคุณสงสัยบ้างไหมว่าทำไมเวลาตัวละครกินอาหารเช้านั้นจะต้องเป็นแบบชุดใหญ่ ทั้งไข่ดาว-หมูแฮม-เบคอน-ไส้กรอก-ขนมปังปิ้งกันทั้งน้าน ไม่ว่าจะเป็นละครน้ำดีทั้งละครน้ำเน่าก็เหมือนกันหมด ไม่ใช่ว่าเมย์ไม่ชอบกินอาหารเช้าแบบนั้นหรอก

นะคะ… แต่ถามจริงๆ ปีหนึ่งเราได้กินอาหารเช้าแบบนั้นกันกี่หนเชียว?

สำหรับตัวเมย์เองให้ได้เต็มที่ไม่ถึง 20 ครั้งหรอกน่า ทุกวันนี้พอได้กินแบบเต็มชุดทีก็ดีอกดีใจแต่ถ้าต้องกินแบบนั้นกันทุกๆ วันก็คงเบื่อน่าดูเลยล่ะค่ะ ส่วนเวลาที่เหลืออีก 345 วันเมย์ก็จะทานอาหารเช้าแบบปนเปกันไปแล้วแต่ ทั้งน้ำผลไม้คั้น โยเกิร์ต ขนมปังปิ้งกับแยมส้ม cereal กับนมสด หรือกับข้าวที่เหลือจากเมื่อวันก่อนกับข้าวสวย รู้สึกว่ารายการยาวมากและเปลี่ยนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เล่าไม่หมดแน่ค่ะ หลายๆ ครั้งเราจะทำกับข้าวสำหรับตอนเช้าเตรียมไว้ล่วงหน้าเลย พอตื่นมาก็แค่อุ่นอีกรอบก็ทานได้เลย อาหารที่ทำเตรียมไว้ตอนกลางคืนมักจะเป็นจำพวกต้มหรือตุ๋นที่เก็บค้างคืนได้ดี

เมย์แนะนำให้ทำ “ซี่โครงหมูตุ๋น” ค่ะ โดยผัดกระเทียมบุบ 5 กลีบ รากผักชีบุบ 3 ราก พริกไทยขาวบุบ 1 ช้อนชา จนหอม ใส่กระดูกหมูหั่นเป็นท่อน 1/2 กิโลกรัม แล้วใส่น้ำให้ท่วมต้มจนเดือดแล้วหรี่ไฟลงช้อนฟองออกให้หมด ใส่ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ อบเชย 2 แท่ง น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนชา แล้วตุ๋นต่ออีก 1 ชั่วโมงจนเปื่อยดี ชิมรสดูอีกรอบแล้วใส่แป้งมันสำปะหลัง 2 ช้อนชาผสมน้ำลงในหม้อเคี่ยวต่อจนแป้งสุกเหนียวยกลง ถึงเวลานี้ก็รอให้เย็นแล้วใส่ห่อเก็บไว้ในตู้เย็นหรือช่องแข็งก็ได้แล้วนำมาอุ่นทานเมื่อต้องการ จะทานเป็นอาหารเช้ากับข้าวสวยก็สะดวกดี (แล้วอย่าไปบอกใครว่าเมย์บอกนะคะเดี๋ยวเสียชื่อหมดแต่ละลายจากช่องแข็งไปใส่บะหมี่ซองก็ใช้ได้นะจ้ะ… อิอิ) ตอนอุ่นอีกทีนั้นเราจะใส่ยอดคะน้าลวกและเติมน้ำมันงาอีกนิดจะอร่อยมากค่ะ

อาหารประจำบ้าน

น้ำมันพืช น้ำตาลทรายแดง ซอสปรุงรส ซีอิ๊วขาว แป้งมันสำปะหลัง อบเชย กระเทียม พริกไทยขาย

ตู้กับข้าว

กระดูกหมู

รสชาติของชีวิต

รากผักชีบุบ ยอดคะน้า น้ำมันงา

อาหารฝรั่งรสไทยๆ สปาเกตตี้ปลาเค็ม

ใครๆ ก็ว่ากันว่าอิตาลีนั้นป็นเมืองถิ่นกำเนิดแห่งเส้นพาสต้า…แต่จริงๆ แล้วเส้นพาสต้านั้นใครเป็นคนคิดค้นขึ้นมากันแน่ ? บ้างก็ว่าถูกเผยแพร่โดยนโปเลียนที่ได้ลิ้มลองบะหมี่ตอนไปออกรบ การกินอาหารก็เป็นวัฒนธรรมของคนแต่ละเผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อเราเจอวัตถุดิบใหม่ รสชาติใหม่เราก็มีการพัฒนาปรุงรสชาติไปในแบบที่เราชอบในรสชาติที่คุ้นเคย

ลองดูอย่างเส้นสปาเกตตี้สิคะ พอถูกนำไปเมืองใหม่ก็ถูกนำไปปรุงในรสชาติแบบเมืองนั้นๆ เมย์เคยไปกินสปาเกตตีที่ญี่ปุ่นมีรสชาติไม่เหมือนเคยกินที่อื่นเลยค่ะ เพราะใส่ไข่ปลาค้อดหมักเกลือและสาหร่ายโนริด้วยค่ะ เขาเรียกว่าอาหารฝรั่งในแบบญี่ปุ่นค่ะ แน่นอนประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้า มีอาหารฝรั่งแบบไทยกับเขาเหมือนกันค่ะ สปาเกตตีเวอร์ชั่นไทยนั้นถูกนำไปผัดกับปลาเค็มจนมีกลิ่นหอม (สำหรับคนไทย…ไม่รู้ว่าถ้าฝรั่งได้ชิมจะว่ายังไงบ้างเนอะ)

สปาเกตตีปลาเค็มแบบไทยนั้นทำไม่ยากนะคะ แต่ถ้าจะทำให้อร่อยต้องทำที่เมืองไทยเท่านั้นค่ะ เมย์เคยพยายามทำตอนเรียนหนังสืออยู่เมืองนอก ทำยังไงก็ไม่อร่อยแซบเหมือนรสชาติที่กินในเมืองไทย เพราะปลาเค็มนั้นหายากเลยต้องใช้ปลาแอนโชวี่แทน แถมพริกขี้หนูและใบโหระพาก็ไม่หอมจัดเหมือนของมาจากเมืองไทยอีกต่างหาก

นำปลาอินทรีเค็มลงทอดในน้ำมันจนสุกหอม แล้วแกะเนื้อออกมาใช้ 75 กรัม (เราต้องทอดปลาอินทรีเค็มทั้งชิ้น แล้วแบ่งออกมาใช้เท่าที่ต้องการ ที่เหลือเก็บใส่ขวดโหลเก็บไว้ในตู้เย็นได้ค่ะ) ปอกกระเทียม 40 กรัม แล้วหั่นบางๆ ใช้ไฟอ่อนเจียวกับน้ำมันโอลีฟออยล์ 3 ช้อนโต๊ะ พอกระเทียมเริ่มสุกนิ่มให้ใส่พริกแห้งลงไป 5 เม็ด เมื่อพริกแห้งกรอบ หอม ใส่ปลาเค็มลงผัด ใช้ตะหลิวบี้ปลาเค็มให้แตกสักครึ่งหนึ่งและเหลือเป็นชิ้นไว้อีกครึ่งหนึ่ง ระหว่างนี้ให้ต้มเส้นสปาเกตตี 200 กรัม จนสุกตามวิธีที่เขียนไว้ข้างห่อ เมื่อเส้นสุกก็ใส่ลงคลุกกับปลาเค็มชิมรสดู ปลาเค็มนั้นรสชาติไม่แน่นอน อาจต้องเพิ่มเกลืออีกหน่อย ใส่พริกไทยอ่อน 1 ช้อนโต๊ะ และโหระพา 1 กำ คลุกให้เข้ากันแล้วยกลงเสิร์ฟ ถ้าชอบเผ็ดมากๆ ตอนทานให้บี้พริกแห้งทอดคลุกกับเส้นจะอร่อยมากค่ะ

อาหารประจำบ้าน

น้ำมันโอลีฟออยล์ กระเทียม พริกขี้หนูแห้ง เกลือ

ตู้กับข้าว

สปาเกตตี ปลาอินทรีเค็ม

รสชาติของชีวิต

พริกไทยอ่อน โหระพา

วันศุกร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

อาหารจิ๋ว คล้ายๆ เปาะเปี๊ยะเวียดนาม

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เมย์จะอดใจไม่ได้กับอาหารชิ้นเล็กๆ ที่ชอบเสิร์ฟตามงานทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นเปาะเปี๊ยะ

ทอดกรอบๆ ทาร์ตผลไม้อันจิ๋ว หรือพาร์ม่าแฮมห่อขนมปังขาไก่ชิ้นเล็กๆ เรามักจะรู้สึกว่าอาหารทานเล่นคำจิ๋วเหล่านี้อร่อยกว่าคำใหญ่เสมอ และคงต้องมีคนแบบเมย์พอสมควรนะคะ เพราะที่อเมริกานั้นมีคนทำร้านที่ขายแต่อาหาร

minisize พวกนี้อย่างเดียวเลยละคะ เพราะเขาเชื่อว่าการทานอาหาร 3 คำแรกจะได้รสชาติอาหารที่อร่อยที่สุดหลังจากนั้นก็เป็นส่วนเกิน ก็เลยทำร้านที่ขายอาหารจานเล็กหลายๆ คอร์สแทนการทำอาหารจานใหญ่ไม่กี่คอร์ส

แต่ข้อเสียของเจ้าอาหารจิ๋วพวกนี้คือมักจะมีผักน้อยและอุดมไปด้วยไขมันและแป้งแทน ด้วยความขี้สงสัยส่วนตัวทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าไม่มีอาหารจิ๋วที่มีผักแยะๆ มั่งเลยเหรอรึ ? เลยทำให้คิดไปถึงเปาะเปี๊ยะสดเวียดนามก็ทำให้ได้เปาะเปี๊ยะสดสูตรคล้ายๆ เวียดนามนี้ออกมา เป็นเปาะเปี๊ยะสดที่ใช้อาหารทะเลลวกผสมกับผัดสดแยะๆ และใช้เห็ดเข็มทองแทนเส้นขนมจีนค่ะ

เตรียมไส้เปาะเปี๊ยะโดยลวกกุ้ง 10 ตัวให้สุก (เราสามารถใส่อาหารทะเลอื่นๆ เพิ่มได้อีก เช่น ปลากะพงและปลาแซลมอนหั่นเป็นชิ้นๆ ลวก) พักไว้ให้เย็นเตรียมเห็ดเข็มทองไว้เป็นช่อๆ และซอยผักรวมกันไว้ ผักที่ใช้ควรเป็นผักกรอบๆ อร่อย เช่น ผักสลัดคอส ผักสลัดแก้วแคร์รอต แตงกวา สำหรับผักที่มีกลิ่นหอมนั้นให้ใช้สะระแหน่และโหระพาเด็ดใบๆ แช่น้ำไว้ เมื่อเสร็จก็เตรียมน้ำจิ้มไว้โดยตำพริกแดง 10 เม็ดกับกระเทียมไทย 10 กลีบเข้าด้วยกันผสมกับน้ำส้มสายชู 4 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 5 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 4 ช้อนโต๊ะ เกลือ 1/2 ช้อนชา เคี่ยวให้เข้ากันด้วยไฟอ่อนจนเหนียว ชิมรสให้เผ็ดเปรี้ยวหวานและเค็มปะแล่ม

เปาะเปี๊ยะสดนั้นเราสามารถทำทิ้งไว้ได้ 1-2 ชั่วโมงก่อนทาน แต่ต้องใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำคลุมไว้ไม่ให้แห้ง เมื่อพร้อมให้นำแป้งเปาะเปี๊ยะเวียดนามมาชุบน้ำจนเปียกผึ่งไว้พอนิ่ม จัดใบสะระแหน่และโหระพาอย่างละ 2 ใบ วางตรงกลาง ใส่กุ้งปลา ผักซอยและเห็ดเข็มทอง พับแผ่นเปาะเปี๊ยะด้านที่ไกลจากตัวเราเข้ามาและพับริมสองด้านให้ปิดไส้ ม้วนตัวเปาะเปี๊ยะเข้าหาตัวเราให้แน่นๆ พักไว้ 5 นาทีให้อยู่ตัวแล้วค่อยหั่นเป็นคำเล็กๆ รับประทานกับน้ำจิ้มและผักสด

อาหารประจำบ้าน

กระเทียม พริกแดง เกลือ น้ำส้มสายชู น้ำตาล

ตู้กับข้าว

กุ้ง ปลา ผักสดต่างๆ ใบสะระแหน่ โหระพา

รสชาติของชีวิต

แผ่นเปาะเปี๊ยะเวียดนาม เห็ดเข็มทอง



เบื่อ….! ไก่ซอสมะขาม

ไม่ใช่ว่าเมย์ไม่ชอบทานอาหารร่วมโต๊ะกับคนอื่นนะคะ แต่ว่าทุกครั้งที่มีโอกาสทานอาหารคนเดียว เป็นจะต้องแอบดีใจทุกทีเลยละค่ะ เพราะเมย์มีนิสัยอย่างหนึ่งที่ทำให้คนร่วมโต๊ะเบื่อ คือเมย์จะชอบฮิตอาหารเป็นช่วงๆ ค่ะ แล้วเมย์ก็สามารถทานอาหารจานนั้นซ้ำๆ ได้จนเบื่อไปเอง แต่ระยะเวลากว่าเมย์จะเบื่อเนี่ยจะเป็นช่วงทรมานของเพื่อนร่วมโต๊ะเมย์เสมอ….เลยทำให้เขาเบื่อเราแทน !?!?

แน่นอนอยู่แล้ว เราย่อมไม่แก้ปัญหาด้วยการงดกินหรอกค่ะ แต่ต้องแก้ปัญหาด้วยการแอบไปกินคนเดียว ! อาหารฮิตล่าสุดของเค็กคือ ไก่ซอสมะขาม ซึ่งเป็นเนื้อไก่ทอดกรอบๆ คลุกเคล้าด้วยซอสรสเปรี้ยวอมหวาน ทานเท่าไรก็ยังไม่เบื่อสักที !

ไก่ซอสมะขามสูตรที่เค็กทำจริงๆ แล้วสามารถทานได้หลายคน ถ้ามีกับข้าวชนิดอื่นๆ ร่วมโต๊ะด้วย แต่ถ้าคนอื่นเขาเบื่อกันหมดแล้ว ก็ไม่ต้องง้อเขา ทำทานเวลาอยู่คนเดียวก็ได้ ทำให้รู้สึกเหมือนเราเอาอกเอาใจตัวเองโดยไม่ต้องคิดถึงคนอื่นดีไงคะ

ใช้เนื้อไก่ (เนื้ออก หรือสะโพก และกระดูก) 150 กรัม หั่นเป็นชิ้นๆ เตรียมไว้ แล้วทำซอสโดยเคี่ยวน้ำมะขาม 2 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ จนเหนียวเป็นยางมะตูม ซอสน้ำมะขามนั้นเก็บไว้ในตู้เย็นได้หลายวันเลยค่ะ แถมการทำซอสมากๆ ก็ง่ายกว่าการทำส่วนเล็กๆ อีกด้วย (ถ้าคุณไม่ขี้เบื่อแล้วอยากทำเก็บไว้จะสะดวกมากเลยค่ะ โดยใช้ส่วนน้ำมะขาม 1/2 ถ้วยตวง น้ำตาล 1/2 ตวง น้ำปลา 1/4 ถ้วยตวง ทำทานได้ถึง 4 ครั้งเลยละค่ะ) เมื่อเคี่ยวซอสมะขามเสร็จแล้ว ให้ทอดเครื่องปรุงทีละอย่างจนกรอบตามลำดับ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 10 เม็ด ใบมะกรูดฉีก 10 ใบ หอมแดงซอยบางๆ 2 หัว พริกขี้หนูแห้ง 5 เม็ด

พอพร้อมทาน ให้นำน้ำมันใหม่ตั้งไฟ เตรียมแป้งชุบที่สำเร็จรูปผสมกับน้ำ (ตามวิธีทำที่ข้างซอง) นำเนื้อไก่ที่หั่นไว้ลงชุบแป้งทอดจนกรอบแล้วเทน้ำมันออกจากกระทะให้เหลือแค่ 1 ช้อนโต๊ะ ใส่ซอสมะขามลงไปพอร้อน ตามไก่ทอดและเครื่องปรุงทั้งหมดลงคลุกรวมกัน ทานคนเดียว หรือถ้าคนอื่นเขายังไม่เบื่อเสียก่อน ก็แบ่งให้เขาทานด้วยนะคะ

อาหารประจำบ้าน

น้ำมะขาม น้ำตาล น้ำปลา พริกขี้หนูแห้ง

ตู้กับข้าว

เนื้อไก่ แป้งชุบทอด หอมแดงซอยบาง

ใบมะกรูด

รสชาติของชีวิต

เม็ดมะม่วงหิมพานต์



ไม่เคยเปลี่ยนแปลง Fruity Ice Tea

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีคนมาถามเมย์ว่ามีสูตรน้ำฟรุตพันช์บ้างไหม เพราะจะจัดงานปาร์ตี้ที่บ้านแล้วอยากทำเครื่องดื่มแบบไม่มีแอลกอฮอล์ให้แขกดื่ม จะทำอะไรดี ทำให้เมย์ได้คิดว่า เอเราไม่มีสูตรพันช์น้ำผลไม้เหรอเนี่ย ไหงเป็นยังงั้น พอนั่งคิดๆ ดูอยู่ซักพัก ก็เลยรู้ว่าเป็นเพราะเราขี้เบื่อแต่ละครั้งที่มีปาร์ตี้ที่บ้านเลยจะไม่ค่อยเคยทำอาหารหรือเครื่องดื่มซ้ำๆ กันเลย แต่ว่าเครื่องดื่มที่มีบ่อยไม่เคยเปลี่ยนแปลงนั้นกลับเป็นน้ำชาชนิดต่างๆ เย็นบ้าง ร้อนบ้าง แล้วแต่โอกาส ในตู้ที่บ้านจะมีใบชาและสูตรชาเย็นเก็บไว้แยะเลยสำหรับทานกับอาหารแต่ละประเภท เมย์ว่า “ice tea” เนี่ยเหมาะสำหรับทานกับบาร์บีคิวมากเพราะดื่มแล้วสดชื่นดีค่ะ วันนี้เมย์ขอแนะนำ ice tea สูตรใส่น้ำผลไม้ที่รับรองว่าต้องติดใจแน่ๆ

ก่อนอื่นต้องทำชาแล้วทิ้งไว้ให้เย็นก่อน ชาที่แนะนำให้ใช้สำหรับทำชาเย็นนั้นเราควรต้องเป็นชาดำที่เข้มข้นหน่อย สำหรับชาที่ใส่ผลไม้ตระกูลส้มและมะนาว เมย์จะชอบใช้ชา earl grey เพราะจะหอมกลิ่น bergamot อ่อนๆ เข้ากันดีค่ะ

ใส่ใบชา 4 ช้อนโต๊ะในเหยือกทนความร้อนที่มีฝาปิด ต้มน้ำร้อน 1 ลิตรจนเดือด เทใส่ลงปิดฝาบ่มชาไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยกรองใบชาออกใส่น้ำตาล 150 กรัม ลงไปคนจนละลายทิ้งไว้ให้เย็น ผสมน้ำส้มคั้นสด 500 มิลลิลิตร และน้ำมะนาวคั้นสดประมาณ 250 มิลลิลิตร (มะนาวนั้นบางทีเปรี้ยวมากน้อยไม่ค่อยคงที่ เมย์เลยจะแนะนำให้ใส่น้ำมะนาวลงไปแค่ 200 มิลลิลิตรก่อนแล้วชิมรสดู ถ้าไม่ค่อยเปรี้ยวแล้วค่อยเติมน้ำมะนาวอีก 50 มิลลิลิตร)

เวลาเสิร์ฟให้ใส่น้ำแข็งแยะๆ กับน้ำชาที่ผสมแล้ว ประดับด้วยมะนาวฝาน ส้มฝาน แอปเปิลฝาน และใบสะระแหน่สด

อาหารประจำบ้าน

น้ำตาล

ตู้กับข้าว

ใบชาดำ น้ำส้มคั้น น้ำมะนาวคั้น

รสชาติของชีวิต

ใบสะระแหน่ ผลไม้สด ประดับ



ของว่างวันวาน หวานๆ คาราเมลโยเกิร์ต

ถ้าคุณให้เมย์เลือกระหว่างของว่างที่เป็นของคาวกับของว่างที่เป็นของหวาน เป็นเมื่อก่อนเมย์คงตอบโดยไม่ลังเลว่า ของคาวแน่นอนค่ะ แต่เมย์ก็เริ่มเปลี่ยนไป หลังจากที่โรงเรียนแจกขนมคุกกี้หวานๆ กับนมสด ตอนพักเช้าทุกวัน ไว้ให้นักเรียนทานเป็นของว่างแก้หิว สมัยก่อนนั้นเมย์ไม่ชอบเลย แต่เมื่อไร้ทางเลือกเช่นนี้ เมย์ก็ต้องยอมทาน ดีกว่านั่งหิวอยู่จนถึงเที่ยง เพราะความเคยชินเลยทำให้เราชอบทานคุกกี้กับนมสดไปโดยปริยาย ตอนนี้พอไม่ได้มีทานทุกวันเหมือนเมื่อก่อน ก็จะแอบคิดถึงของว่างวันวาน หวานๆ แล้วความต้องการนี้มักจะเกิดขึ้นตอนที่เราคิดไม่ถึงเสมอ ส่วนมากเป็นเวลาที่เราไม่ค่อยมีอะไรอยู่ในบ้านเอาเสียเลย เมย์ต้องมีทางออกให้ตัวเองโดยการพัฒนาของว่างแบบที่ใช้ของประจำบ้านของเมย์ซะแล้ว นั่นคือ โยเกิร์ตธรรมชาติ น้ำตาลทรายแดง (โอ้วทึ้ง) ถั่วอัลมอนด์อบน้ำผึ้ง

ก่อนอื่นนำคุกกี้แบบที่คุณชอบไว้ จะเป็นคุกกี้ทำเองหรือคุกกี้ซื้อก็ได้ (คุกกี้เนยหรือเป็นแบบแซนด์วิชช็อกโกแลตก็อร่อยดี) นำมา 2 ชิ้น ใส่ในถุงใบเล็กบดหยาบๆ เตรียมไว้ แล้วตักโยเกิร์ตธรรมชาติ 1/2 กระป๋องใส่ลงในถ้วยแก้ว โรยน้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ ให้ทั่วหน้าแล้วโรยคุกกี้บดแล้วลงไป 1/2 ถุง ตักโยเกิร์ตธรรมชาติใส่จนหมดกระป๋อง โรยน้ำตาลทรายแดง คุกกี้ และเพิ่มถั่วอัลมอนด์อบน้ำผึ้งใส่ลงไปด้วย พอแช่ตู้เย็นไปสัก 10 นาที น้ำตาลทรายแดงจะละลายเป็นคาราเมลสีน้ำตาลเข้ม พอตักทานจะได้รสเปรี้ยวหวานของโยเกิร์ตธรรมชาติและซอสคาราเมล ประกอบกับความกรุบกรอบของถั่วอัลมอนด์อบน้ำผึ้งและคุกกี้ ถ้าอยากเปลี่ยนรสชาติ ลองใช้โยเกิร์ตผลไม้ หรือคุกกี้ช็อกโกแลตชิปแบบที่ชอบก็ได้นะคะ

อาหารประจำบ้าน

โยเกิร์ตธรรมชาติ คุกกี้

ตู้กับข้าว

น้ำตาลทรายแดง

รสชาติของชีวิต

ถั่วอัลมอนด์อบน้ำผึ้ง


เล่นทำอาหาร ต้มกะทิสายบัวปลาทู



เมย์คิดมาตลอดว่าตัวเองถูกเลี้ยงมาแบบสมัยใหม่ที่ถูกสอนให้เราคิดเองและทำ อะไรต่อมิอะไรด้วยตัวเอง แต่ก็มีบางอย่างเหมือนกันที่ทำให้เราต้องแปลกใจอย่างของเล่นชิ้นโปรดที่บ้านจะไม่ใช่เกมกดเหมือนของคนอื่น แต่จะเป็นชุดหม้อข้าวหม้อแกงดินเผาที่คุณย่าหามาให้ ซึ่งเราใช้เล่นทำอาหารโดยนำดอกไม้หลายๆ สีในสวนมา ผัดหรือนำใบไม้มาฉีกๆ แล้วตำในครกจิ๋วที่มาด้วยกัน นานๆ ทีก็มีผู้ใหญ่ว่างมาเล่นด้วย เราก็โชคดีได้กินอาหารจริงๆ อย่างแกงจืดตำลึงหรือขนมครกไข่นกกระทา ทำชุดขนมครกดินเผา ของในสวนที่เราสามารถเก็บมา เล่นทำอาหารนั้นต้องเป็นต้นไม้ดอกไม้ที่มีปลูกอยู่แยะอย่าง ดอกเข็มสีต่างๆ ดอกชบา ใบจากไม้ยืนต้นต่างๆ ห้ามเราไปเด็ดดอกไม้หายากพวกว่านหรือผลไม้ที่กินได้จริงๆ มาเล่นเด็ดขาด

บ้าน ที่เมย์อยู่นั้นจะเคยมีต้นมะดันต้นใหญ่ปลูกอยู่ริมน้ำ เราต้องมีการตัดเล็มกิ่งอยู่เรื่อยๆ เพื่อไม่ให้ต้นสูงใหญ่จนเอียงลงไปในน้ำ กิ่งที่เล็มลงมานี้มักจะมีลูกมะดันติดมาด้วย เราจะต้องเลือกลูกดีๆ สวยๆ ไปแช่อิ่มและทำอาหาร ส่วนลูกที่ไม่ค่อยดีก็ทิ้งไป หรือคัดไป เล่นทำอาหารได้

เมื่อมีปฏิบัติการตัดต้นมะดัน อาหารที่มีขึ้นโต๊ะตอนเย็นเสมอก็คือ ต้มกะทิสายบัวปลาทูซึ่งเป็นอาหารที่เมย์ ชอบมาก เพราะเป็นแกงกะทิที่ออกรสทั้งสามรส เปรี้ยวเค็มหวาน เริ่มต้นนั้นเราต้องโขลกพริกแกงให้เข้ากันก่อน โดยตำพริกไทยขาว 4 เม็ดให้ละเอียด ตามด้วยหอมแดงหั่น 3 หัว กะปิดี 2 ช้อนชา ระหว่างนั้นให้ต้มหางกะทิ 400 มิลลิลิตร (เดี๋ยวนี้คนใช้กะทิกล่องกันแยะเพราะกะทิสดยากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนที่ใช้กะทิกล่องให้ใช้น้ำสะอาด 200 มิลลิลิตร ผสมกับกะทิ 200 มิลลิลิตร)

พอร้อนแล้วใส่พริกแกงที่ตำไว้ เกลือ 1/2 ช้อนชาและมะดัน (เราไม่มีต้นมะดันแล้ว เลยใช้ลูกตะลิงปลิงเปรี้ยวๆ แทนค่ะ) 4-5 ลูกหั่นตามขวางลงต้มพอนิ่ม ใส่สายบัว 300 กรัม ที่เด็ดเป็นท่อนๆ และปลาทูนึ่ง 2 ตัว ลงต้มด้วยไฟกลางจนเดือด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลอย่างละเท่าๆ กันให้ออกรสเปรี้ยวเค็มหวาน ตั้งไฟกลางจนสายบัวนิ่ม ใส่หัวกะทิอีก 4-5 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากันแล้วค่อยยกลงตั้งโต๊ะทานกับข้าว

อาหารประจำบ้าน

น้ำปลา น้ำตาล

ตู้กับข้าว

หอมแดง กะปิ ปลาทูนึ่ง สายบัว

กะทิ น้ำมะขามเปียก

รสชาติของชีวิต

มะดัน/ตะลิงปลิง


วันศุกร์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

เหนื่อยนิดเดียว ซุปดอกกะหล่ำ


เคยสังเกตบ้างไหมคะ เวลาที่เราไปทานอาหารฝรั่งกันในครอบครัวทีไร คุณตาคุณยายมักจะชอบสั่งซุปทานกันบ่อยๆ ซึ่งกับเราเป็นอาหารที่ไม่เคยคิดจะสั่งเลย แต่เดี๋ยวนี้เราไปร้านอาหารฝรั่งบ้าง กลับดูที่หมวดซุปก่อนเลยล่ะค่ะหวังว่าคงไม่เกี่ยวกับอายุที่เพิ่มขึ้นด้วยนะเนี่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาเหนื่อยๆ นั้น เป็นอาหารจานเดียวที่อยากทานเลยค่ะ

ถ้าคุณคิดว่าการหั่นผักไปเรื่อยๆ นั้นเป็นการพักสมองที่ดี คุณจะต้องชื่นชอบการทำซุปแน่ๆ ค่ะ เราเหนื่อยนิดเดียว แต่ได้รางวัลเป็นซุปหม้อใหญ่ ทานได้ตั้งหลายวันเลย ถ้าทานทันทีเลยจะหอมอร่อย หรือสามารถนำไปเก็บใส่ถุงแช่ช่องแข็งเป็นเสบียงยามยากก็ได้ค่ะ

ซุปของเมย์นี้ได้มาจากตอนเรียนอยู่ Cordon Bleu ค่ะ เป็นซุป กะหล่ำซึ่งอาจจะฟังดูแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ขอให้ลองเพราะเมย์ชอบมาก ทานคำแรกจะรู้สึกว่าเรากำลังทานครีมซุป แต่พอทานต่อไปอีกเรื่อยๆ ก็จะได้รสชาติของกะหล่ำ ที่สำคัญวัตถุดิบสำหรับทำซุปนี้เป็นอาหารที่เมย์มีอยู่ประจำบ้านเกือบทั้งหมดเลยค่ะ ถ้าอยากทานหรืออยากทำเมื่อไรก็ทำได้ตลอด

การทำซุปของเมย์มักจะเริ่มต้นด้วยการหั่นหอมใหญ่ เพื่อนำไปผัดกับเนยให้สุกนิ่ม แล้วใช้เวลาที่รอหอมสุก หั่นผักอื่นๆ ให้เสร็จค่ะ สำหรับซุปดอกกะหล่ำนี้ใช้หอมใหญ่ 150 กรัม หั่นเป็นลูกเต๋า แล้วลงไปผัดกับเนย 2 ช้อนโต๊ะ ซอยกะหล่ำ 300 กรัมเป็นชิ้นบางๆ เมื่อหอมใหญ่สุกให้ใส่กะหล่ำกับเนยอีก 2 ช้อนโต๊ะ คนจนเนยละลายแล้วใส่แป้งอเนกประสงค์ 4 ช้อนโต๊ะ ลงไปคนให้เข้ากัน ตวงนมสด 500 มิลลิลิตร และน้ำสะอาด 500 มิลลิลิตร ใส่ลงไปในหม้อ ใช้ช้อนไม้คนให้เข้ากันและเคี่ยวต่ออีก 30 นาที จนดอกกะหล่ำสุกนิ่มดี ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย และลูกจันป่น (Nutmeg) รอจนเย็นหน่อยแล้วนำไปปั่นด้วยเครื่องให้เนียนดี ทานเลยทันทีกับขนมปังครูตองกรอบ จะอร่อยมากเลยค่ะ

อาหารประจำบ้าน

เกลือ พริกไทย เนย

ตู้กับข้าว

กะหล่ำ หอมใหญ่ นม แป้งอเนกประสงค์

รสชาติของชีวิต

ลูกจันป่น ขนมปังครูตอง




วิบวับ ทับทิมกรอบ


สมัยที่เมย์เริ่มทำงานใหม่ๆ แล้วต้องมาทำงานในห้างกลางเมืองนั้น เป็นที่อิจฉาของเพื่อนๆ ไม่น้อยเลยค่ะ

อยู่ไปนานๆ ทำให้เรารู้ว่ามีเหตุผลอีกมากมายที่ทำให้เราอยากลี้ภัยไปทำงานไกลๆ จังเลยค่ะ คิดดูซิค่ะถ้าคุณเดินออกที่ทำงานไปไม่ถึงสิบก้าวแล้วเจอร้านขายของยั่วกิเลสเป็นทิวแถวขนาดนั้นจะเหลือเหรอคะ แค่เดือนแรกเงินก็วิ่งออกจากบัญชีเร็วยังกะไปแข่งโอลิมปิกจนกระเป๋าฟีบหมดท่าเลยค่ะ เมย์ก็เลยต้องมีมาตรการเพื่อจัดการกับตัวเองซักหน่อยค่ะ อย่างเวลาพักที่เมย์ต้องเดินผ่านร้านโปรดเมย์จะพยายามไม่เข้าไปในร้านเลยค่ะ เราจะต้องใจแข็งมากๆ และดูของอยู่หน้าร้านเท่านั้น จะอยู่นานเท่าไรก็ได้ แต่ต้องไม่เข้าไปเด็ดขาดค่ะ เพราะของบางอย่างที่เราอยากได้เป็นทุนอยู่เดิมแล้วเจอลูกยุของคนขายอีกก็เสร็จทุกทีเลยค่ะ ให้ทำเหมือนที่ฝรั่งเขาเรียกว่า (window shopping) “ช็อปปิ้งจากหน้าต่างน่ะค่ะ

วิธีการนี้สามารถป้องกันเงินในกระเป๋าเราได้พอประมาณ แต่ที่ต้องระวังพิเศษก็คือพวกเครื่องประดับเพชรพลอยที่ส่องแสงวิบวับเรียกร้องความสนใจ เพราะราคานั้นหนักกว่าเสื้อผ้ากระเป๋าหลายเท่าเลยทีเดียวละ ! ถ้าเราไม่มีโอกาสลิ้มรสหินราคาแพงกับเขาแล้วก็กลับมาสนใจหินกินได้ของเรากันดีกว่าค่ะ

ทับทิมกรอบสีแดงสวย ทับทิมกรอบนั้น เราเริ่มต้นจาก คุณสมหวัง” (หรือมีชื่อเดิมที่ไม่ทันสมัยแต่ว่าเราคุ้นเคยว่าแห้วจีน) ต้มน้ำ 1/2 ลิตรกับน้ำตาล 4 ช้อนโต๊ะ ใส่แห้ว 250 กรัม ลงไปต้มจนสุกประมาณ 10 นาที แล้วนำมาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า จะให้ ทับทิมก้อนใหญ่เบิ้มแค่ไหนก็ได้ตามใจ ซับน้ำให้แห้งแล้วตักน้ำหวานสีแดง (ทำนองเฮลบลูบอยกลิ่นสละนะคะ) ใส่ลงไป 1-2 ช้อนโต๊ะคลุกให้ทั่ว แช่ไว้ 20 นาที ให้ซึมเข้าเนื้อแห้ว

ระหว่างนั้นทำน้ำกะทิ โดยใช้กะทิ 400 มิลลิลิตร ต้มกับน้ำตาลทราย 150 กรัม จนเดือด และยกลงตั้งให้เย็น (ถ้าอยากให้หอมมันให้ใช้กะทิสดแทนกะทิกล่องนะคะ ใช้มะพร้าว 1/2 กิโลกรัม คั้นให้ได้หัวกะทิ 400 มิลลิลิตร) เมย์ไม่ค่อยชอบน้ำกะทิที่รู้สึกว่าหวานไป ก็เลยมักจะเติมเกลือนิดหน่อยให้รสชาติกลมกล่อม ผสมแป้งมัน 250 กรัมกับแป้งท้าวยายม่อม 2 ช้อนโต๊ะเข้าด้วยกัน แล้วนำแห้วสีแดงลงไปคลุกให้แป้งติดทั่ว ใส่ลงต้มในน้ำเดือด ใช้ทัพพีคนไม่ให้ติดกัน พอทับทิมกรอบสุกจะลอยขึ้นมาข้างบน ให้ตักออกแช่น้ำจนเย็นแล้วพักไว้

ถ้าอยู่บ้านเราอาจจะไม่มีเครื่องปั่นน้ำแข็งให้ละเอียด อาจจะต้องใช้วิธีทุบแทนนะคะ (การใส่น้ำแข็งในถุงหรือผ้าสะอาดแล้วทุบสะดวกสุดค่ะ) เวลาพร้อมทานให้ตักทับทิมกรอบใส่ถ้วยกับน้ำกะทิและน้ำแข็งทุบละเอียด ถ้าหามะพร้าวอ่อนหรือมะพร้าวกะทิได้ใส่ลงไปด้วยนะคะจะยิ่งอร่อยเลิศเลยค่ะ

อาหารประจำบ้าน

น้ำตาลทรายขาว เกลือ

ตู้กับข้าว

แห้วจีน กะทิ แป้งมัน แป้งท้าวยายม่อม

รสชาติของชีวิต

มะพร้าวอ่อนหรือมะพร้าวกะทิ





ขนมปังกับ… กุ้งกระเทียม


สำหรับใครที่ชอบทานขนมปังจิ้มน้ำมันมะกอกในร้านอิตาเลียน เมย์ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะคะ เมนูของวันนี้อาจจะทำให้คุณรักเมย์มากๆ หรือเกลียดเมย์ไปเลย เพราะอาหารจานนี้สามารถทำให้คุณทานขนมปังหมดเป็นตะกร้าๆ ได้สบายเลยแหละค่ะ อาหารที่เราว่ากันนี้เป็นหนึ่งใน “tapas” ของสเปนที่มีชื่อฟังดูดีว่า “gambas al ajillo” แต่พอแปลเป็นภาษาไทยแล้ว กลับกลายเป็นชื่อเช้ย…..เชย ว่า กุ้งกระเทียม

จานนี้เป็นกุ้งตัวเล็กๆ ที่นอนลอยแพมาในน้ำมันมะกอกกับกระเทียม พอเล่ามาถึงตอนนี้คุณคงจะพอเดาออกแล้วใช่ไหมค่ะ ว่าทำไมเราถึงทานขนมปังเปลืองนัก

สำหรับกรรมวิธีนั้นให้นำกุ้งทะเลสดตัวเล็กๆ มา ปอกเปลือก แกะหัวหางออกให้หมด กุ้งทะเลสดนั้นรสชาติดี เพราะเนื้อกุ้งจะออกรสเค็มๆ จากน้ำทะเลที่อยู่ในตัวทำให้อร่อยขึ้นอีก แต่คงไม่ใช่ทุกคนที่โชคดีมีกุ้งทะเลสดทานที่บ้านทุกวันหรอกใช่ไหมล่ะคะ สำหรับคนที่ช็อปปิ้งอาหารอาทิตย์ละไม่กี่หนแล้วต้องจำกัดอยู่แค่กุ้งแช่แข็ง เราก็มีทางออกให้เหมือนกันค่ะ คือต้องเอากุ้งออกมาทิ้งไว้ในตู้เย็นให้ละลายก่อน เช็ดน้ำที่ออกมาตอนละลายให้แห้ง แล้วโรยเกลือทะเล 1/4 ช้อนชา ไว้นาน 15 นาที จะทำให้กุ้งออกรสชาติเค็มๆ คล้ายกับน้ำทะเลค่ะ สำหรับกุ้งทะเลสดนั้นให้ใช้ 350 กรัม และสำหรับ กุ้งแช่แข็งนั้นให้ใช้ 300 กรัม เพราะเมื่อปอกเปลือกและละลายแล้ว เราจะได้เนื้อกุ้งล้วนๆ น้ำหนักประมาณ 250 กรัม

ฝานกระเทียมจีนกลีบใหญ่ 5 กลีบเป็นแผ่นบางๆ ใส่ลงในกระทะหรือหม้อใบเล็กกับพริกขี้หนูแห้ง 1 เม็ด ที่แกะเม็ดข้างในออกจนหมด พร้อมทั้งน้ำมันมะกอก Extra Virgin Olive Oil 100 มิลลิลิตร แล้วนำไปตั้งไฟปานกลางจนกระเทียมสุกหอม ขอเน้นให้ใช้น้ำมันมะกอกแบบหอมพิเศษ คือแบบ Extra Virgin Olive Oil เท่านั้นนะคะ เพราะตรงนี้แหละคือความแตกต่างที่ทำให้อาหารจานนี้อร่อย ใส่กุ้งที่เตรียมไว้ลงไป ผัดจนสุกแล้วตักใส่ถ้วยโรยพลาสลี่สับ เตรียมตะกร้าขนมปังร้อนๆ ไว้ให้พร้อมแล้วกัน เวลาทานจะได้ใช้ขนมปังจิ้มน้ำมันมะกอกกับกระเทียมแกล้มกับกุ้งอร่อยที่ซู้ด

อาหารประจำบ้าน

กระเทียมจีน พริกแห้ง เกลือทะเล

ตู้กับข้าว

กุ้งตัวเล็ก

รสชาติของชีวิต

น้ำมันมะกอก Extra Virgin Olive Oil พลาสลี่




ผัดผักสุดฮอต…จริงๆ ถั่วแขกผัดพริก

หนึ่งในความสุขของเมย์ คือ การได้ไปกินอาหารในร้านใหม่ที่น่าสนใจ ความน่าสนใจนี้จะเป็นความอร่อยหรือความแปลกใหม่ได้ทั้งนั้น วิธีที่เค็กใช้เลือกนั้นมาจากสื่อชนิดต่างๆ การฟังจากเพื่อนรักนักชิมทั้งหลาย หรือไม่ก็การพบเห็นเอาเอง ในความน่าสนใจนี้ก็มีเหมือนกันค่ะที่เราเลือกผิดสุดๆ จนต้องแอบมาต้มบะหมี่ซองกินตอนดึกๆ แต่ก็มีอีกเหมือนกันที่เจอแจ็กพอต

การไปร้านต่างๆ ก็คือ การได้ไปเที่ยว เพราะบางทีสิ่งที่เราได้นั้นมีมากกว่าอาหารอร่อยนะคะ เมย์เคยหลงเข้าไปในร้านอาหารจีนไต้หวัน บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศเลยละค่ะเพราะเหตุผลเดียวเลยละค่ะ ไม่มีใครในร้านที่พูดภาษาไทยรู้เรื่อง ! เวลาสั่งอาหารนั้นเรามีทางเลือกเดียวคือใช้นิ้วจิ้มในเมนูภาษาไทยที่แปลมาผิดๆ ถูกๆ บางคนอาจจะคิดว่ามันเหนื่อยเกินไปสำหรับอาหารมื้อหนึ่ง แต่เมย์ว่าออกจะสนุกดี เหมือนได้ไปเที่ยวเมืองนอกแบบไม่ต้องขึ้นเครื่องบิน (ยิ่งตอนนี้ราคาตั๋วเครื่องบินนั้นเกินบรรยายแล้วอย่าลืมค่าน้ำมันที่ต้องจ่ายเพิ่มอีกนะ) เคล็ดลับการไปร้านอาหารที่เราพูดภาษาไม่รู้เรื่อง คือ เราต้องเปิดใจให้กว้างไว้ อย่าถามว่า เกี๊ยวน้ำที่เราสั่งมาทำไมไม่มีน้ำซุปเลยแต่กลายเป็นเกี๊ยวหมูลวกมาบนจานให้จิ้มกับซีอิ๊ว ให้ทำแบบคนตะกละคือลองกินเลย !

ระหว่างการใช้นิ้วจิ้มมั่วซั่วสั่งอาหารอยู่นั้น เมย์เหลือบไปเห็นเมนูถั่วแขกผัดพริกที่ฟังดูแปลกดี ก็เลยต้องลองสั่งดู อาหารมาถึงโต๊ะนั้นเป็นถั่วแขกสีเขียวคลุกเคล้ากับพริกที่แดงสีสดและกระเทียมสับ เมย์ก็ทำตามแบบแนะนำเลยค่ะคือลองกินทันที โอ้โหอย่าให้พูดเลยละค่ะถั่วที่เขียวที่ดูไม่มีพิษภัยนั้นเกือบทำให้ปากระเบิดเลยค่ะร้อนสุดๆ หลังจากที่ทำใจได้ใหม่ แล้วลองชิมใหม่อีกที ทำให้รู้ว่าถั่วแขกนั้นนุ่มหอมอร่อยมากเลยค่ะ

จากการที่เมย์ต้องสังเวยปากระเบิดไปอีกหลายครั้ง ทำให้เดาได้ว่าถั่วแขกแสนอร่อยนั้นต้องถูกทำให้สุกด้วยการนำไปทอด เมย์เลยได้ไอเดียเอามาทำแบบของเมย์เองมั่ง นำถั่วแขกมา 300 กรัม เด็ดหัวเด็ดหางแล้วตั้งน้ำมันท่วมสำหรับทอดให้ได้ 170 องศาเซลเซียส ทอดถั่วจนสุกนิ่มแต่ยังเขียวอยู่ ระหว่างนั้นใส่น้ำมัน 1 ช้อนชาลงในกระทะอีกใบ ผัดกับกระเทียมสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ ขิงสับ 1/4 ช้อนชา พอหอมให้ใส่พริกแดง 2 เม็ดหั่นหยาบลงไป รอสักแป๊บหนึ่งก็ใส่น้ำพริกเผาจีน (แบบมีเต้าเจี้ยว) หรือน้ำพริกเผาไทยลงไป 1/2 ช้อนชา ผัดให้ผสมกันแล้วใส่ถั่วลงไปคลุก ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวนิดหน่อย

ก่อนจะรีบชิมขอเตือนอีกครั้งนะคะด้วยความหวังดีว่า ถั่วแขกนี้ทั้งเผ็ดทั้งร้อนเลยนะฮ้าแต่อร่อยคุ้มค่าจ้า

อาหารประจำบ้าน

น้ำมัน ซีอิ๊วขาว

ตู้กับข้าว

กระเทียม พริกแดง ขิง ถั่วแขก

รสชาติของชีวิต

น้ำพริกเผาจีน



เปิด 10 เทรนด์อาหาร 2009 ยุคเศรษฐกิจถดถอย สุขภาพ-ขนาดเล็กลงมาแรง


ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบต่อจำนวนเงินในกระเป๋าเข้าอย่างจัง อาหาร แม้จะเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตมนุษย์กลับต้องอยู่ในภาวะจำเป็นต้องเลือกด้วยเช่นกัน

ความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้ จึงพุ่งเป้าไปที่อาหารที่พวกเขามองว่าจำเป็น และคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปเท่านั้น ถึงจะสามารถสร้างและรักษายอดขายไม่ให้ตกกว่าเดิมได้

“ระยะซบเซาของธุรกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก และการชะลอทางธุรกิจได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์หลัก และแฟชั่นอาหาร”

“ในช่วงที่ยากลำบาก ปัจจัยสำคัญเพียงอย่างเดียวที่ผู้บริโภคสนใจในการเลือกซื้ออาหารและเครื่องดื่ม คือ ประโยชน์ที่จะได้รับจากอาหาร และที่สำคัญพวกเขาต้อง ‘รู้สึก’ ถึงประโยชน์จากอาหารได้ภายในระยะเวลาอันสั้น และรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่ได้จ่ายไป” จูเลียน เมลเลนทิน หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเทรนด์อาหาร ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับแนวโน้มของ “10 เทรนด์อาหารและสุขภาพในปี 2009”

บทความเรื่อง “10 เทรนด์อาหารและสุขภาพในปี 2009” ที่บันทึกโดยจูเลียน เมลเลนทิน เป็นรายงานประจำปีที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด เพราะได้รวบรวมเทรนด์อาหารเพื่อใช้ในการคิดค้นกลยุทธ์ในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม โดยพุ่งเป้าไปที่เทรนด์ระยะยาวเป็นหลัก ไม่ใช่แค่ความนิยมที่มีในระยะสั้น

ปีที่ผ่านมา จูเลียนได้วิเคราะห์ว่าอาหารสุขภาพจะเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคต้องการสูงสุดทั่วโลก และ “Premiumization” จะกลายเป็นมาตรฐานของอาหารสุขภาพที่สามารถอัพราคาจากอาหารปกติได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยที่ผู้บริโภคไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่มแม้แต่น้อย

แต่ท่ามกลางภาวะตกต่ำของเศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบัน แค่ความเป็นพรีเมียมเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถเรียกความสนใจจากผู้บริโภคได้อีกต่อไป แต่ต้องในแง่ “Feel the benefit” ด้วย

Premium + Benefit = Value-for-money

ความสำคัญของ “Feel the benefit” ถูกเน้นย้ำมากขึ้นเรื่อยๆ จากแบรนด์อาหารที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายในช่วงเวลาที่เหมาะสม และดูเหมือนว่าความสำคัญของจุดนี้เพิ่มมากเรื่อยๆ เมื่อผู้บริโภคเริ่มระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าเดิม

ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงพลังของ “Feel the benefit” ได้อย่างชัดเจน คือ เครื่องดื่มให้พลังงาน (Energy drinks) และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการช่วยย่อยอาหาร (Digestive Health) และนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใดที่ทั้งสองกลายเป็นเซกเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดของอาหารเพื่อสุขภาพทั่วโลกในปัจจุบัน

ตลาดเครื่องดื่มพลังงานในสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ และยังคงเติบโตปีละ 10% ขณะเดียวกัน แบรนด์ฟังก์ชันนอล ฟู้ด 10 อันดับแรกในญี่ปุ่นก็เป็นเครื่องดื่มให้พลังงาน และอาหารที่ช่วยระบบย่อยอาหารด้วยเช่นกัน โดยมี Otsuka’s Oronamin C เป็นฟังก์ชันนอลแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

เครื่องดื่มให้พลังงานให้ประโยชน์ที่เห็นผลได้ในทันทีเพียงแค่ช็อตเดียวเท่านั้น โดยเฉพาะกลุ่มคนอายุ 20 ที่ต้องการปาร์ตี้ตลอดทั้งคืน ซึ่งพวกเขาเป็น Loyal Customers ของ Red Bull

สินค้าที่ช่วยระบบย่อยอาหารก็มีข้อได้เปรียบเช่นเดียวกับเครื่องดื่มให้พลังงาน ด้วย Probiotic (เชื้อจุลินทรีย์ที่มีส่วนช่วยในระบบย่อยอาหารในลำไส้เล็ก) และ Fiber ทำให้คนที่ได้ลองทานไปรู้สึกถึงประสิทธิภาพได้อย่างทันที จึงไม่น่าแปลกใจที่แบรนด์อย่างเช่น Activia หรือ Actimel ประสบความสำเร็จทั่วโลก

ในทางกลับกัน สินค้าที่ต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นถึงผลที่ได้จากผลิตภัณฑ์อาจต้องประสบกับความลำบากได้ เมลเลนทินได้ยกตัวอย่างเช่น นมที่เติมส่วนผสมของ Omega-3

“ในออสเตรเลีย ยอดขายของนมที่เติมส่วนผสม Omega-3 ตกลงอย่างมาก ในบางกรณีตกลงกว่า 33% ในหนึ่งปี Omega-3 เป็นสารอาหารที่สำคัญ เพียงแต่ว่าไม่สามารถให้ประโยชน์ที่คุณสามารถเห็น หรือรู้สึกได้”

จัดระเบียบเมนูอาหารใหม่

สำหรับธุรกิจร้านอาหารไม่ว่าจะเป็น Quick Service Restaurants หรือ Fine Dining ล้วนแต่ต้องจัดระเบียบเมนูอาหารใหม่เพื่อรองรับพฤติกรรมรัดเข็มขัดของผู้บริโภคในปี 2009 ทั้งสิ้น

งบประมาณที่ลดลง ก็เท่ากับเส้นรอบเอวที่เล็กลง ปี 2009 จึงกลายเป็นปีแห่งการ “ตัด” และ “หั่น” งบการทานอาหารนอกบ้าน ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคก็ต้องการฟื้นฟูสุขภาพเพื่อให้เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจและการใช้ชีวิต

การจัดระเบียบเมนูอาหารใหม่ จึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำเพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

Shareable Menu ที่นำเสนออาหารหลากหลายประเภทในรูปแบบขนาดพอดีคำ ที่มาพร้อมไวน์ที่เสิร์ฟเพียงแค่ครึ่งแก้ว กำลังเป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยประหยัดงบในกระเป๋าสตางค์ และไม่ทำลายช่วงเวลาไดเอ็ตอีกด้วย

Seasonal menu เป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่จะช่วยดึงให้ผู้บริโภคออกมาทานอาหารนอกบ้านได้ และที่สำคัญยังช่วยประหยัดต้นทุนการผลิตได้

ต้นทุนอาหารที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากมองเป็นโอกาสนำมาจับคู่กับความต้องการสินค้าสดใหม่ของผู้บริโภค ผลิตออกมาเป็นเมนูเฉพาะเทศกาลที่ใช้วัตถุดิบที่มีในช่วงนั้นเป็นส่วนผสมหลักก็จะสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจได้ไม่ยาก ซึ่งในบางครั้งการมีเมนูอาหารเดิมๆ ยาวนานเป็นเดือน หรือปี โดยที่ไม่มีอะไรใหม่ก็ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องอีกต่อไป

Farm-To-Table Cuisine หนึ่งเทรนด์ฮิตในปี 2009 สำหรับร้านอาหาร เพราะผู้บริโภคปัจจุบันมักมีความสงสัยและอยากรู้ว่า อาหารที่พวกเขาบริโภคมาจากไหน อาหารถูกเตรียมอย่างไร และใครเป็นผู้เตรียมอาหารนั้น ซึ่งหากร้านใดนำเสนอเมนู Farm to table ได้มาก ก็อาจเป็นตัวเลือกร้านอาหารอันดับแรกๆ ของผู้บริโภค

และที่สำคัญ การทานอาหารในปัจจุบันของคนส่วนใหญ่ไม่ได้แบ่งตามช่วงเวลาอีกต่อไป ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีชีวิตที่ไม่หยุดนิ่งกับที่ และมีตารางเวลาที่ไม่อาจคาดเดาได้ การนำเสนออาหารชุดตามช่วงเวลา อย่างเช่น ชุดอาหารเช้า อาหารกลางวัน และอาหารเย็น จึงไม่ใช่คำตอบของผู้บริโภคอีกต่อไป

การนำเสนอชุดอาหารในช่วงเวลาที่ยืดหยุ่น และเปิดให้ดึกขึ้นกว่าเดิม จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกเดินเข้าร้านอาหาร

10 เทรนด์ธุรกิจอาหารในปี 2009

1. Digestive Health เทรนด์แห่งโอกาสในการทำตลาด
2. Feel the benefit สิ่งที่คอนซูเมอร์ต้องการมากที่สุด
3. Weight Management ควบคุมอาหารสำคัญกว่าลดน้ำหนัก อาหารที่จะทำให้คุณทานน้อยลง
4. Energy ตลาดใหม่ที่ยังไปได้อีกไกลในอนาคต
5. Naturally Healthy อีกจุดขายสำคัญของอาหาร
6. Fruit อนาคตของอาหารเพื่อสุขภาพ
7. Kids Nutrition สารอาหารสำหรับเด็ก
8. Healthy Snack ของทานเล่นเพื่อคนรักสุขภาพ
9. Ultra loyal consumer กลุ่มลูกค้าที่ช่วยให้แบรนด์ผ่านพ้นช่วงซบเซาได้
10. Packaging Innovation ตัวช่วยอัพราคาสู่พรีเมียม

วันอังคารที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

ไม่จำกัด “ช็อกโกบานาน่า”

สาวๆ สมัยนี้ทุกคนจะต้องผ่านการไดเอตมาก่อนทั้งนั้น แต่ละคนก็มีวิธีของตัวเอง แล้วแต่ว่าจำกัดอาหารแบบไหน จำกัดไขมัน จำกัดแป้ง หรือจำกัดพลังงานแคลอรี ในสาวๆ ที่เคยคุยมานั้นก็จะเคยผ่านการระเบิดและโกงข้อจำกัดของการไดเอตมาแล้วทั้งนั้น ถ้าคุณพบเจอคนไหนที่ไม่เคยก็ช่วยแนะนำให้เมย์รู้จักบ้างซิคะ เผื่อเธอจะใจดีบอกเคล็ดลับให้เราบ้าง

เมย์เป็นคนที่หลงใหลรสชาติของกล้วยหอมและ

ช็อกโกแลตมากๆ และหลายๆ ครั้งก็เป็นอาหารที่อยากกินที่สุดตอนไดเอต เมย์มีเพื่อนสุดเลิฟเคยสอนเค็กไว้ว่า เราไม่ควรปล่อยให้ตัวเองอยากหรือบังคับตัวเองมากเกินไป เพราะจะทำให้เราเสี่ยงต่อการระเบิดมากขึ้น เพราะฉะนั้นทุกอาทิตย์ เราจะสามารถทานอาหารที่ต้องการมากๆ ได้ 1 ครั้ง เพื่อให้เราสามารถจำกัดอาหารได้ตลอดทั้งอาทิตย์ต่อไป อาหารไม่จำกัดของเมย์เป็น “choccobanana sandwich” แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ให้เลือกทำทานตามความอ้วนผอมของตัวเองนะคะ

1.แบบเต็มสตีม - สำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นวิกฤต, ต้องการทั้งคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ให้เอาขนมปังขาวออกมา 1 แผ่น ตัดกล้วยหอม 1/2 ลูกออกเป็นแว่นๆ ใส่ลงไป ตามด้วยช็อกโกแลตแท่ง 30 กรัม (ประมาณ 4 บล็อก ถ้าบิออกมาจากช็อกโกแลตแท่ง) ปิดทับด้วยขนมปังอีกแผ่น ทาเนยด้านนอกให้ทั่ว ใส่เนย 1 ช้อนชา ลงในกระทะไม่ติดวางแซนด์วิชลงไป ทอดด้วยไฟอ่อนจนเหลืองทั้ง 2 ด้าน

2.แบบปานกลาง - สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการไขมันมาก ให้ทำแซนด์วิชช็อกโกบานาน่าแบบเดิม แต่ไม่ทาเนยเลยแล้ววางลงบนกระทะไม่ติด (ไม่ใส่เนยอีกเหมือนกัน) ปิ้งจนขนมปังกรอบและช็อกโกแลตละลาย

3.แบบผอมสุด - ไม่ใส่เนยและไม่มีคาร์โบไฮเดรต ปอกกล้วย 1/2 ลูก ผ่าตรงกลางให้เหมือนขนมปัง hot dog ใส่ช็อกโกแลต (เป็นไปได้ให้ใช้ช็อกโกแลตดำแบบไม่มีครีมนะคะ) ตรงกลาง ห่ออะลูมิเนียมฟอยล์ใส่เตาอบจนช็อกโกแลตละลายและกล้วยส่งกลิ่นหอม

เลือกทำทานตามที่โอกาสอำนวยแล้วกันนะคะ

อาหารประจำบ้าน

เนย

ตู้กับข้าว

กล้วยหอม ขนมปังปอนด์

รสชาติของชีวิต

สารพัดสูตรหมูสับปลาเค็ม

ปลาเค็มชิ้นเล็กนี้ดเดียวก็มีกลิ่นและรสที่เข้มข้นพอทำอาหารทานได้ทั้งจานแล้ว อย่างอาทิตย์ก่อนที่เราทำข้าวผัดปลาเค็มกับไก่ไปคงจะทำให้มีเนื้อปลาเค็มเหลืออยู่ไม่น้อยเลย เราจะนำปลาเค็มที่เหลือไปผัดข้าวผัดอีกหรือผัดเป็นคะน้าปลาเค็มก็ได้ แต่ถ้าเบื่อกันแล้วเมย์ขอแนะนำให้ลองทำ หมูสับปลาเค็มนึ่งอีกอย่างค่ะ

เมย์เลือกใช้ปลาอินทรีเค็มแล้วนำมาแกะเนื้อให้ได้ 100 กรัม แล้วบิเป็นชิ้นเล็กแล้วผสมกับเนื้อหมูสับหยาบ 300 กรัม กระเทียมสับ 2 ช้อนชา ขิงหั่นฝอย 1 ช้อนชา นำส่วนผสมทั้งหมดมาสับรวมกันพอเข้าเนื้อ สำหรับสูตรดั้งเดิมนั้นจะให้เอาส่วนผสมไปแผ่บางๆ บนจานทนความร้อน (ให้คิดถึงเนื้อปลาทรงเครื่องที่แผ่มาในถาดตามร้านสุกี้ไว้) แล้วนำไปนึ่ง 20 นาที จนสุก

สำหรับสูตรใหม่นั้นเมย์ไปติดใจมาจากทานร้านจีนที่เพิ่มรากบัวสับไปด้วยค่ะ เพราะทานแล้วอร่อยไม่รู้สึกหนักเท่าสูตรเดิม เมย์เลยลองมาปรับสูตรใหม่นี้ให้ใช้หมูสับแค่ 350 กรัม แล้วใส่รากบัวสับหรือแคร์รอตเข้าไปอีก 80 กรัม แล้วค่อยนำไปนึ่งตามวิธีเดิมค่ะ

พอครบกำหนด 20 นาที ยกออกจากลังถึงนั้นกลิ่นจากปลาเค็มจะหอมฟุ้งยั่วน้ำลายเลยล่ะค่ะ ให้เสิร์ฟหมูสับปลาเค็มที่นึ่งออกมาร้อนๆ ในจานเดิมเลย โรยน้ำมันงา ต้นหอมซอยและพริกชี้ฟ้าแดงซอย ทานกับข้าวสวยร้อนๆ

เกือบลืมแนะส่วนผสมหมูสับปลาเค็มนี้นำไปทอดทานก็อร่อยเหมือนกันค่ะ ให้ใส่น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะในกระทะไม่ติด แผ่ส่วนผสมเป็นแผ่นบางๆ เหมือนเดิม ทอดไฟกลางจนสุกเหลืองทั้งสองด้าน

วันนี้เราได้สูตรหมูสับปลาเค็มถึง 6 แบบด้วยกัน มีทางเลือกแยะอย่างนี้ต้องลองทำดูแล้วล่ะค่ะว่าคุณจะชอบแบบนึ่งหรือทอด สูตรดั้งเดิมหรือสูตรใหม่

อาหารประจำบ้าน

กระเทียม ขิง น้ำมันงา

ตู้กับข้าว

หมูสับ แคร์รอต ต้นหอม พริกชี้ฟ้าแดง

รสชาติของชีวิต

ปลาอินทรีย์เค็ม รากบัว

“เพื่อคนตาโต” ข้าวผัดปลาเค็มกับไก่

คุณเคยหุงข้าวตอนหิวๆ บ้างไหมคะ ? ถ้าคุณเคย คุณจะเข้าใจว่าเมย์พูดถึงอะไรอยู่ การหุงข้าวตอนหิวนั้นทำให้คนเราตาโตหุงข้าวเกินพิกัดทุกที แล้วข้าวค้างคืนนั้นไม่ค่อยหอมอร่อยเหมือนข้าวหุงใหม่ๆ ซะด้วย เมย์พอจำได้ลางๆ ว่า มีคนเคยบอกว่าการทำข้าวผัดให้อร่อยนั้นต้องใช้ข้าวเย็นค้างคืนถึงจะได้ข้าวผัดที่อร่อยไม่แฉะ ก็เลยลองเอามาทำข้าวผัดแทนจะได้ไม่เสียของ การทำครั้งแรกๆ ก็ไม่อร่อยนักหรอกค่ะ แต่เราก็ต้องมีพัฒนาการกันเรื่อยๆ ลองผิดลองถูก เมย์ยึดคติที่ว่าทำหลายๆ หน ลองไปเรื่อยๆ จะได้รสมืออร่อยถูกใจเอง

ข้าวผัดเมย์นั้นมีหลายชนิดทั้งแบบไทยที่ทานกับน้ำปลาพริกมะนาว ข้าวผัดปาเอญ่าสเปน หรือแบบจีน สำหรับข้าวผัดปลาเค็มกับไก่จานนี้เมย์ไปติดใจจากร้านอาหารจีนมาก่อนแล้วค่อยมาลองทำเองให้ถูกใจอีกที ถ้าจะทำให้อร่อยสมบูรณ์แบบจริงๆ ต้องทำพริกน้ำมันหอมๆ ทานด้วยกัน เพราะความอร่อยนั้นแตกต่างกันจริงๆ

สำหรับการผัดข้าวเพื่อไม่ให้ติดกระทะนั้น เพื่อนคนจีน

ของเมย์เคยสอนเคล็ดลับไว้ คือต้องใส่น้ำมันลงไปซัก 50 มิลลิลิตร กลอกให้เคลือบกระทะจนทั่ว ตั้งไฟจนร้อนค่อยเทน้ำมันนี้ทิ้งไป ใส่น้ำมันใหม่ลงไป 1 ช้อนโต๊ะ พอร้อนแล้วใส่ปลาเค็ม 20 กรัม ลงไปผัดให้หอมแล้วใส่เนื้อไก่หั่นเต๋า พอสุก 50% จึงใส่ก้านคะน้าหั่นเต๋าลงไป 20 กรัม (บางทีเค็กจะใช้ก้านบร็อกโคลี่ที่นำดอกไปใช้หมดแล้วแทน) ผัดต่อไปอีกแป๊บจึงใส่ข้าวสุก 1 ถ้วย ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว 1/4 ช้อนชา น้ำตาล 1 หยิบมือ พริกไทยขาว 1/4 ช้อนชา พอคลุกจนทั่วแล้วให้ผลักข้าวไปกองไว้ข้างหนึ่งของกระทะ ใส่น้ำมันอีก 1 ช้อนชา ลงไปบนกระทะด้านที่ไม่มีข้าว ตอกไข่ลงไป 1 ฟอง คนให้ไข่สุก 50% แล้วกลบด้วยข้าวผัดต่อจนสุกหอม

เครื่องปรุงอีกอย่างที่เมย์ชอบทานกับข้าวผัดปลาเค็มนี้ คือพริกน้ำมันค่ะ ซึ่งวิธีทำนั้นก็ไม่ยาก ให้ตักพริกขี้หนูป่น 1 ช้อนโต๊ะ กับงา 1/2 ช้อนชา ใส่ถ้วยทนความร้อนไว้แล้ว นำน้ำมัน 100 มิลลิลิตร ตั้งจนร้อนแล้วเทลงไปในชามพริกป่นจะฟู่ขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด นำไปตั้งโต๊ะให้คนตักทานตามชอบ จะให้เผ็ดแค่ไหนก็ใส่เองเลยค่ะ

อาหารประจำบ้าน

น้ำมัน น้ำตาล พริกป่น ซีอิ๊วขาว พริกไทย พริกขี้หนู งา

ตู้กับข้าว

เนื้อไก่ ก้านบร็อกโคลี่ ข้าวสุก ไข่ไก่

รสชาติของชีวิต

ปลาเค็ม (ปลาอินทรี)